ความผิดพลาด 25 ปีแรก



ตอนที่ 4 อิสรภาพทางการเงิน – ความผิดพลาด 25 ปีแรก

เรื่องย่อ ที่เบอร์กไชร์ฮาธาเวย์
ช่วงแรกของการลงทุนของบัฟเฟตต์
เขาจะซื้อหุ้นที่ราคาถูกมาก ๆ
แต่ผลประกอบการระยะยาวของบริษัทนั้นไม่ดีนัก

โดยไม่ได้เลือกบริษัทที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน
และมีความยั่งยืนของความได้เปรียบนั้น
และเขาเริ่มตระหนัก ว่านี่ไม่ใช่กลยุทธ์ในฝัน

ต่อมาเขาจึงเลิกลงการลงทุนรูปแบบนี้
เพราะมันเหมือนกับการหาคนที่โง่กว่ามาซื้อหุ้นต่อ
และมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากไม่มีคนที่โง่กว่า มาซื้อหุ้นไป !!!

ความผิดพลาด 25 ปีแรก
ความผิดพลาด 25 ปีแรก ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

รายละเอียด ความผิดพลาด25ปีแรกของวอเร็น บัฟเฟตต์
ข้อความต่อไปนี้ปรากฎอยู่ในรายงานประจำปี 2532
ของเบอร์กไชร์ฮาธาเวย์
บริษัทที่วอเร็น บัฟเฟตต์ ใช้ในการลงทุนถือหุ้นของเขา
สิ่งที่บัฟเฟตต์เขียนถือเป็นหลักสำคัญในวิธีคิดและ
หลักการลงทุนบางส่วนที่สำคัญมากของเขาในปัจจุบัน

ความผิดพลาดข้อแรกของผม
แน่นอนคือการซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของเบอร์กไชร์
ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าธุรกิจของมัน การผลิตสิ่งทอ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีอนาคต
แต่ผมก็ถูกล่อให้ซื้อเพราะราคาที่ดูเหมือนว่าจะถูกมาก
การซื้อหุ้นแบบนั้นได้สร้างผลตอบแทนให้ผมไม่เลว
ในช่วงที่ผมเริ่มลงทุนใหม่ ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเราได้เบอร์กไชร์มาในปี 2508
ผมก็เริ่มตระหนักว่านี่ไม่ใช่กลยุทธ์ในฝัน

ถ้าคุณซื้อหุ้นในราคาที่ถูกพอ
โดยปกติก็จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ผลกำไรของธุรกิจ
จะกระตุกหรือดีดตัวขึ้นซึ่ง จะเปิดโอกาสให้คุณขายหุ้นทิ้งและได้กำไรพอสมควร
ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานในระยะยาวของธุรกิจจะแย่มาก
ผมเรียกแนวการลงทุนแบบนี้ว่า ก้นบุหรี่ นั่นคือก้นบุหรี่ที่พบบนถนนที่เหลือพอสูบได้
เพียงคำเดียวนั้นอาจจะให้ความสุขในการสูบได้ไม่มาก แต่ราคาซื้อที่ถูกมาก”
จะทำให้การสูบมีกำไร

บัฟเฟตต์ พูดอีกหลายประเด็น
เกี่ยวกับข้อผิดพลาดในการซื้อหุ้น โดยมองที่ความถูกเป็นหลักและเขาสรุปว่า

ผมสามารถยกตัวอย่าง ความโง่เขลาของการซื้อหุ้นถูกอื่นๆอีก
แต่ผมแน่ใจว่าคุณจะเห็นภาพนั่นคือ มันเป็นเรื่องที่ดีกว่ามาก
ที่จะซื้อบริษัทที่ดีเลิศในราคาที่ยุติธรรม แทนที่จะซื้อบริษัทที่ดีพอใช้ในราคาที่ดีเยี่ยม

ผมเป็นคนที่เรียนรู้ช้า แต่เดี๋ยวนี้
เมื่อจะซื้อบริษัทหรือหุ้น เรามองหาธุรกิจชั้นหนึ่ง ที่มาพร้อมกับผู้บริหารชั้นหนึ่ง

ผมได้พูดมาหลายครั้งว่า
เมื่อผู้จัดการที่มีชื่อเสียงสุดยอด ในการบริหารธุรกิจ
มาเจอกับธุรกิจที่มีชื่อเสียงสุด แย่ในด้านของการทำกำไร สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ
ชื่อเสียงของธุรกิจ

บทเรียนต่อมาที่บัฟเฟตต์พูดถึงก็คือ
หลังจาก 25 ปีของการซื้อ และดูแลธุรกิจที่หลากหลาย
ผมไม่เคยเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหายากๆ ของธุรกิจเลย สิ่งที่เราเรียนรู้ก็คือการหลีกมัน
การที่เราประสบความสำเร็จนั้น เป็นเพราะเรามุ่งเน้นที่การมองหารั้วที่สูง 1 ฟุต ที่เรา
สามารถก้าวข้ามไปได้ มากกว่าที่ เราจะสร้างความสามารถในการ ที่จะกระโดดข้ามรั้วสูง 7 ฟุต

การค้นพบนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ยุติธรรม
แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจและการลงทุน
มันเป็นเรื่องที่สามารถทำ กำไรได้มากกว่ามากที่จะเพียงยึดอยู่กับสิ่งที่ง่ายและ
เห็นได้ชัดมากกว่าที่จะวิเคราะห์หรือตัดสินใจในสิ่งที่ยาก…



ในอีกกรณีหนึ่ง โอกาสการลงทุนที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้น
เมื่อธุรกิจที่ดีเยี่ยมประสบกับ ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดครั้งเดียว แต่แก้ไขได้
อย่างเช่น ในกรณีที่เกิดมาแล้วหลายปี ของหุ้นอเมริกันเอ็กซ์เพรสและ GEICO
อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้ว เราทำได้ดีกว่า โดยการหลีกเลี่ยงมังกรแทนที่จะฆ่ามัน

การค้นพบที่น่าประหลาดใจที่สุดของผม
ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในธุรกิจก็คือพลังแฝง
ที่เราอาจจะเรียกว่า “สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสถาบัน”…….ยกตัวอย่างเช่น…….
ธุรกิจที่ผู้นำปรารถนาที่จะทำ ไม่ว่าจะโง่เขลาเพียงใด
จะได้รับการสนับสนุนอย่างรวดเร็วโดยตัวเลข
ผลตอบแทนการลงทุนและยุทธศาสตร์ที่เตรียมโดยลูกน้องของเขา
หรืออย่างเช่น พฤติกรรมของบริษัทคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน
ไม่ว่าเขาจะขยายงาน ซื้อกิจการ ตั้งและจ่ายผลตอบแทน
ให้แก่ผู้บริหาร หรืออะไรก็ตาม จะถูกเลียนแบบโดยไม่คิดถึงความเหมาะสม.

หลังจากความผิดพลาดอื่นๆ
ผมเรียนรู้ที่จะทำธุรกิจเฉพาะกับคนที่ผมชอบ เชื่อใจ และยกย่อง
ตรงกันข้ามเรา ไม่ประสงค์ที่ร่วมกับผู้จัดการซึ่งขาดคุณสมบัติที่น่าชมเชย
ไม่ว่าธุรกิจของเขาจะมีแนวโน้ม น่าสนใจแค่ไหน
เราไม่เคยประสบความสำเร็จในการซื้อธุรกิจดีๆ กับคนที่ไม่ดี

ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดบางอย่างของผม
ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน นั่นคือหุ้นหรือธุรกิจซึ่งผมรู้จัก
คุณค่าของมันดีแต่กลับไม่ได้ซื้อ ไม่ใช่เรื่องบาป
ที่คนจะพลาดโอกาสการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ ที่อยู่นอกเหนือความรู้
หรือความเข้าใจของเขา แต่ผมได้ปล่อยธุรกิจที่ยิ่งใหญ่หลายราย
ที่เสิร์ปมาให้ถึงที่และเป็นธุรกิจที่ผมสามารถ
เข้าใจได้อย่างเต็มที่ให้หลุดไป สำหรับผู้ถือหุ้นของเบอร์กไชร์
รวมถึงตัวผมเอง บทเรียนนี้ราคาแพงมาก

นโยบายการเงินที่อนุรักษ์นิยมสุดยอดของเรา
อาจจะดูเหมือนว่า เป็นความผิดพลาดแต่ผมคิดว่าไม่
มองย้อนกลับไปถ้าเรากู้เงินมาลงทุนในระดับปกติของธุรกิจ
ผลตอบแทนการลงทุนของเราคงจะดีกว่า
เฉลี่ยปีละ 23.8% ที่เราได้มา
แม้ในปี 2508 บางทีเราสามารถที่จะตัดสินว่ามีโอกาสถึง 99% ที่การกู้เพิ่ม
จะทำให้ผลกำไรสูงขึ้น ในเวลาเดียวกัน
เราอาจจะเห็นว่ามีโอกาสเพียง 1% ที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ซึ่งอาจทำให้เราเสียหายหรือถึงล้มละลาย

เราไม่ชอบโอกาส 99:1 นั้นและจะไม่ชอบตลอดไป
โอกาสเล็กน้อยของการเสียหายหรือเสียหายหนัก
ในมุมมองของเราจะไม่คุ้มกับโอกาสมากมายที่จะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
ถ้าการกระทำของคุณมีเหตุผลคุณ
ก็แน่นอนว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีอยู่แล้ว
ในกรณีส่วนมากการกู้ก็เพียงแต่ทำให้สิ่งต่าง ๆ เคลื่อนเร็วขึ้น…

ผมไม่เคยรีบมาก :
เรามีความสุขกับการลงทุนมากกว่าผลตอบแทนที่ได้ – แม้ว่าเราจะได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันทั้งคู่

เราหวังว่าในอีก 25 ปีต่อไป
ที่เราจะรายงานความผิดพลาดใน 50 ปีแรก ถ้าเรายังคงอยู่ในปี 2558
ที่จะทำอย่างนั้น คุณเชื่อได้เลยว่าส่วนนี้จะกินพื้นที่กระดาษมากกว่านี้มาก”

Value Investor ของไทยเรา
ยังมีบทเรียนหรือความผิดพลาดน้อย เมื่อคิดถึงระยะเวลาที่ความคิด
และแนวทางการลงทุนแบบ Value Investment
ที่เพิ่งก่อร่างขึ้นมาเพียงไม่ถึง 10 ปี แต่โชคดีที่เรามีเซียน
อย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ที่ผ่านประสบการณ์มายาวนาน และ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
ตลาดอเมริกันกับไทยอาจจะแตกต่างกัน
แต่ผมคิดว่าหลักการนั้นใช้กันได้เกือบ 100% เงื่อนไขของ
ความสำเร็จนั้นอยู่ที่คนจะประยุกต์ใช้ได้ดีแค่ไหนและมีความมั่นคงเพียงใด
บทความนี้นำมาจาก Thaivi แต่ได้แก้ไขเล็กน้อย
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=pu121&group=2
อิสรภาพทางการเงิน โดย money.matethai.com

$$$ ลิ้งที่เกี่ยวข้อง $$$
อิสรภาพทางการเงิน ตอนที่ 0 -12