พ่อรวย พ่อจน – ก้าวแรกสู่อิสรภาพทางการเงิน



อิสรภาพทางการเงิน – พ่อรวยสอนลูก พ่อจนสอนลูก

          พ่อจนเสียใจที่จากไป โดยที่ไม่มีมรดกอะไร เหลือทิ้งไว้ให้ลูกเลย ส่วนพ่อรวยจากไป โดยทิ้งมรดกไว้มากมาย และความรู้อันหาค่าไม่ได้ พ่อทั้งสอง ต่างก็เป็นคนดี มีผู้คนเคารพนับถือมาก  แต่มีคำสอน เรื่องการดำรงชีวิต ที่แตกต่างกันสุดขั้ว นี่คือเรื่องราวที่เรา อยากให้คุณได้อ่าน!

+++ ตัวอย่างเช่น +++

พ่อจน “บ้านเป็นการลงทุน และทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุด”
พ่อรวย “บ้านเป็นหนี้สิน และถ้าใครคิดว่า บ้านเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุด เขาลำบากแน่”

ตรงนี้ อาจจะมีบางท่าน ที่ยังไม่เข้าใจนะครับ ลองดูรูปนี้ครับ

นิยาม คำว่าทรัพย์สินของ คนรวย
ทรัพย์สินคือมีเงินเข้ากระเป๋า นิยามคำว่า ทรัพย์สิน ของคนรวย ภาพประกอบจาก อินเทอร์เน็ต
ทรัพย์สิน สร้างเงิน - หนี้สินดูดเงิน
ทรัพย์สิน สร้างเงิน – หนี้สินดูดเงิน ภาพประกอบจาก อินเทอร์เน็ต

เป็นคำสอนเรื่องการดำรงชีวิต ที่แตกต่างกันสุดขั้วจริงๆใช่ไหมครับ!

          เรื่องนี้ก็เป็น ความคิดและวิธีคิดที่แตกต่างกัน ระหว่างคนรวยกับคนจน ที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด เรื่องหนึ่งครับ….

บ้านเป็นทรัพย์สินหรือหนี้สิน
บ้านเป็นทรัพย์สินหรือหนี้สิน ภาพประกอบจาก อินเทอร์เน็ต

ต่อกันเลยนะครับ…

พ่อคนหนึ่งมักจะพูดว่า “ไม่มีปัญญาซื้อ…”
ขณะที่อีกคนชอบพูดว่า “ทำยังไงจึงจะซื้อได้???”

พ่อจนบอกว่า “ความรักเงินเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้าย…”
พ่อรวยบอกว่า “การขาดเงินเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้าย???”

ประโยคแรกเป็นคำบอกเล่า แต่ประโยคที่สองเป็นคำถาม
ประโยคแรกพูดแล้วทุกอย่างจบ
ประโยคที่สองทำให้คุณต้องคิดหาคำตอบ

พ่อที่กำลังจะรวยของผม อธิบายว่า

          “ถ้ายอมรับว่าเราไม่มีปัญญาซื้อ สมองจะหยุดคิด แต่เมื่อถูกตั้งคำถาม สมองจะเริ่มทำงาน
พ่อไม่ได้หมายความว่าเราต้องซื้อทุกอย่างที่อยากได้ แต่พ่อต้องการฝึกให้สมองทำงานตลอดเวลาเหมือนกับคอมพิวเตอร์ การฝึกให้สมองทำงานมาก สมองก็ยิ่งแข็งแรง”

          พ่อก็รวยขึ้น คำว่า ‘ไม่มีปัญญาซื้อ’ เป็นการฝึกสมองให้ขี้เกียจ ขี้เกียจคิด” แม้พ่อทั้งสองจะทำงานหนัก แต่ผมสังเกตว่า พ่อคนหนึ่งมักไม่ค่อยชอบคิดเรื่องเงิน ขณะที่อีกคนชอบฝึกให้สมองทำงาน ผลระยะยาวก็คือ พ่อคนหนึ่งมีสถานะการเงินมั่นคง



– พ่อรวยสอนลูก และพ่อจนสอนลูก –

พ่อจนคิดว่า คนรวยควรเสียภาษีมากๆ เพื่อช่วยคนจน
พ่อรวยคิดว่า “ภาษีทำโทษคนขยัน และให้รางวัลคนขี้เกียจ”

พ่อจน “เรียนมากๆ จะได้ทำงานกับบริษัทที่มั่นคง”
พ่อรวย “เรียนมากๆ จะได้ซื้อบริษัทที่มั่นคง”

พ่อรวยชอบคุยเรื่องเงิน ตอนทานข้าว
พ่อจนห้ามพูดเรื่องเงิน ตอนทานข้าว

พ่อจน “เรื่องเงินทอง ต้องปลอดภัยไว้ก่อน”
พ่อรวย “ต้องรู้วิธีจัดการกับความเสี่ยง”

พ่อจน “พ่อไม่รวยก็เพราะพ่อมีลูก”
พ่อรวย “พ่อต้องรวย เพราะพ่อมีลูก”

ที่มา หนังสือขายดี พ่อรวยสอนลูก(Rich Dad Poor Dad)

คนรวย…คนจน…

คนรวย...เป็นคนกำหนดหลักสูตรการศึกษา
คนรวย…เป็นคนกำหนดหลักสูตรการศึกษา ภาพประกอบจาก อินเทอร์เน็ต

“คนรวย…เป็นคนกำหนดหลักสูตรการศึกษา
ส่วนคนจน…เรียนปริญญาเพื่อทำงานให้คนรวย !!!”
— โรเบิร์ต คิโยซากิ —

คุณโรเบิร์ต กำลังจะบอกเราว่า…
“เรากำลังอยู่ในกรอบ ที่กลุ่มคนรวย สร้างไว้ให้เราเดินสินะ!”
…ช่วงหลังเราถึงได้เห็นไง ว่าทำไมใครๆ
ก็ใส่ใจกับแนวคิดเรื่อง “คิดนอกกรอบ”

+++ ชี้ช่องรวย… +++

          สุดท้ายนี้ อยากบอกว่า ถ้าท่านอยากรวย ท่านต้องซื้อหรือสร้างทรัพย์สิน หมายถึงทรัพย์สินจริงๆ ทรัพย์สินที่สร้างรายรับ หรือทำเงินเข้ากระเป๋านะครับ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เป็นหนี้สิน ที่ดูดเงินท่านไป เช่นบ้าน แล้วก็คิดไปว่า มันเป็นการลงทุน และทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุด

          #ขอให้จำไว้ว่า… ทรัพย์สินที่เป็นหนี้สิน มันไม่สามารถทำให้ท่าน รวยได้นะครับ ต้องเป็น “ทรัพย์สิน สร้างเงิน” เท่านั้น ทรัพย์สินนั่น ถึงจะทำให้รวยได้ครับ!

เคล็ดลับสร้างความร่ำรวย…

          สร้างความรวย ด้วยการสร้างทรัพย์สิน ไม่ใช่ทำงานหนัก! อิสรภาพทางการเงินโดย money.matethai.com

เงิน 4 ด้าน รายได้ 4 แบบ!

เงิน 4 ด้าน รายได้ 4 แบบ
เงิน 4 ด้าน รายได้ 4 แบบ ภาพประกอบจาก อินเทอร์เน็ต

แนวคิดวิธีหาเงิน โดย Robert T. Kiyosaki

เงินสี่ด้าน CashFlow

+++ ถ้าคลิปดูไม่ได้ ให้คลิ๊กดู ที่ลิ้งข้างล่างนี้ นะครับ +++

– แนวคิดวิธีหาเงิน คลิ๊ก

– เงินสี่ด้าน CashFlow คลิีก

6 thoughts on “พ่อรวย พ่อจน – ก้าวแรกสู่อิสรภาพทางการเงิน”

  1. หนังสือเล่มหนึ่งเขียนโดย Keith Cameron Smith เรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น 10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง

    ข้อแรก
    เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

    ข้อสอง
    คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

    ข้อสาม
    คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนจนรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้

    ข้อสี่
    คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

    ข้อห้า
    คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้

    ข้อหก
    คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

    ข้อเจ็ด
    คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต

    ข้อแปด
    คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

    ข้อเก้า
    คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

    สุดท้าย ข้อสิบ
    คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?

    และนั่นก็คือความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้
    ที่มา settrade.com

  2. “คนรวย…เป็นคนกำหนดหลักสูตรการศึกษา
    ส่วนคนจน…เรียนปริญญาเพื่อทำงานให้คนรวย !!!”
    — โรเบิร์ต คิโยซากิ —
    — เจ้าของหนังสือ Best seller พ่อรวยสอนลูก —

    คุณโรเบิร์ต กำลังจะบอกเราว่า
    “เรากำลังอยู่ในกรอบ ที่กลุ่มคนรวย สร้างไว้ให้เราเดินสินะ!”
    …ช่วงหลังเราถึงได้เห็นไง ว่าทำไมใครๆ
    ก็ใส่ใจกับแนวคิดเรื่อง “คิดนอกกรอบ”

    จากมุมมองของ โรเบิร์ต คิโยซากิ
    ทำให้เราอาจมองทบทวนได้ว่า
    ทำไมการศึกษาบ้านเรา ถึงไม่ค่อยเน้น
    ทักษะทางด้านความคิด
    ทำไมเน้นระเบียบแต่ไม่มีวินัย

    สิ่งเหล่านี้เ ป็นโจทย์ที่ ระบบการศึกษาต้องหาคำตอบ
    ว่าอยากพัฒนาการศึกษาไปทิศทางไหน

    เชื่อฟัง…ให้ง่ายต่อการควบคุม
    คิดเป็น…เพื่อให้เกิดการพัฒนาและการแข่งขัน
    หรือควบคู่กันไป อย่างเหมาะสม

    แต่จากแนวคิดของ โรเบิร์ต คิโยซากิ
    ก็พอจะเห็นภาพว่า
    จริงๆแล้ว วุฒิการศึกษา อาจไม่ใช่ตัวชีวัดความสำเร็จ
    ต่อให้คุณจบปริญญาโท หรือ ปริญญาเอก

    ถ้าคุณไปทำงานเป็นลูกจ้าง
    ก็ยังต้องถูก ปากกาด้ามเดียว จากเจ้าของกิจการ
    กำหนดเงินเดือนให้ ซึ่งเขาอาจจบไม่สูง
    แต่มีทักษะประสบการณ์หรือปัจจัยด้านอื่นๆ

    แต่ถึงแม้คุณจบไม่สูงมากนัก
    แต่มีทักษะ และความคิดที่จะเป็นเจ้าของกิจการ
    คุณอาจประสบความสำเร็จ

    แต่อย่างไรก็ตาม
    การศึกษายังสำคัญเสมอ
    ขอเพียงให้คุณเลือกทางเดินชีวิตให้ดี
    และอย่าลืมเติมจิ๊กซอร์ความสำเร็จตัวอื่น นอกจากใบเบิกทางปริญญา
    พกทักษะและเป้าหมายไปด้วย

    ขอขอบคุณ : ความเห็นของ ครูนพพร อินสว่าง
    [มีการแชร์ทั่วไปใน Social Media]

  3. ปล. แต่ถ้าบริษัทต่างๆ ไม่มีพนักงาน
    โลกนี้คงวุ่นวายเหมือนกันนะครับ

    และจากสถิติ 95 % ของธุรกิจเกิดใหม่
    จะตายไปภายใน 5 ปี
    โรเบิร์ต คิโยซากิ ก็กล่าวไว้ครับ

    สำหรับท่านที่ต้องการสร้างธุรกิจ
    การเข้าใจเรื่อง สามเหลี่ยม B-I จึงมีความสำคัญมาก
    โปรดติดตามได้…ตอนต่อไปนะครับ…

  4. ธุรกิจเกิดใหม่ อยากรอดต้องรู้!
    โลกแห่งการลงทุน ธุรกิจ และอิสรภาพทางการเงิน!
    ธุรกิจเกิดใหม่ อยากรอดต้องรู้
    เรื่องต้องรู้ ก่อนก้าวสู่ การเป็นเถ้าแก่…
    ถ้าท่านอยากเป็น เจ้าของธุรกิจ อยากทำธุรกิจ เช่น ธุรกิจส่วนตัว
    นี่คือ เข็มทิศชีวิตของธุรกิจเกิดใหม่ ถ้าอยากเกิด ต้องรู้ …

    จากสถิติ
    95% ของธุรกิจเกิดใหม่ จะต้องตายใน 5 ปี
    และจะมีเพียงแค่ 5% เท่านั้นที่รอดไปได้….

    บทความธุรกิจเกิดใหม่ กับสามเหลี่ยม B-I
    สำหรับท่าน ที่ต้องการสร้างธุรกิจ
    การเข้าใจเรื่อง สามเหลี่ยม B-I จึงมีความสำคัญมาก
    โปรดติดตามได้…ในบทความ ต่อไปนะครับ…

    http://www.job.matethai.com/business/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88/

  5. คำถาม หนังสือ พ่อรวยสอนลูก ถ้าจะซื้อสักเล่ม เล่มไหนดี?

    ตอบ พ่อรวยสอนลูก มีเป็นสิบเล่มเลยครับ
    แต่แนะนำว่าให้อ่าน 2 เล่มแรกครับ

    เล่มที่1 คือ หนังสือพ่อรวยสอนลูก
    เล่มที่2 คือ เล่มเงินสี่ด้าน

    ส่วนเล่มที่เหลือ ผมว่าบางทีเนื้อหามันวกไปวนมา ซ้ำไปซ้ำมา
    บางเล่มมีเนื้อหาใหม่เพิ่มมาอีกนิดเดียว
    แต่ไปทบทวนเนื้อหาในเล่ม 1-2 ซะเยอะครับ
    แต่โดยรวมแล้ว เป็นหนังสือที่ดีมากๆครับ

    มีประโยชน์มากจริงๆ เป็นการนำเสนอ
    ด้านบวกของเจ้าของธุรกิจ
    กับด้านลบของมนุษย์เงินเดือน

    +++ เพิ่มเติมนะครับ +++
    พ่อรวยสอนลงทุน
    เล่มนี้เลยครับ อ่านจบแล้ว คุณจะไม่เหมือนเดิม
    ขยันผิดที่ สิบปีก็ไม่รวยครับ…

Leave a Reply