One Way Ticket



ตอนที่ 6 อิสรภาพทางการเงิน – One Way Ticket
เรื่องย่อ “ถ้าเราวิเคราะห์ดีแล้วเมื่อเราซื้อหุ้น
เวลาที่จะขายหุ้นนั้นเกือบจะไม่ต้องเลย”
วอเร็น บัฟเฟตต์นั้นไม่เหมือนนักลงทุนคนอื่น
เขาซื้อโดยมีสมมติฐานว่าจะไม่ขาย
หุ้นที่เขาลงทุนส่วนใหญ่ อยู่กับเขามานาน หลาย ๆ บริษัท
เขาคือเจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด

เขาไม่ดูราคาหุ้น สิ่งที่เขาดูก็คือ ผลกำไรของบริษัท
ดูเงินสดที่บริษัทหามาได้
และบ่อยครั้งเขาเอาเงินสดนั้นมาใช้ลงทุนซื้อกิจการ
หรือหุ้นตัวอื่นต่อ ๆ ไป และนี่คือ

วิธีการทำเงินจากหุ้นโดยไม่ต้องขายหุ้นแต่ซื้อหุ้นไปเรื่อย ๆ
จะเรียกว่าลงทุนแบบ One Way Ticket ก็น่าจะได้

กลยุทธสู่ อิสรภาพทางการเงิน
กลยุทธสู่ อิสรภาพทางการเงิน ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

รายละเอียด One Way Ticket (วอเร็น บัฟเฟตต์)
โลกในมุมมองของ Value Investor ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนเอกของโลกบอกว่าเขาอยากซื้อหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมที่สุด
ในราคาที่ยุติธรรม แล้วเก็บเอาไว้ไม่ขายเลยตลอดชีวิต และกลยุทธ์นี้เองที่ทำให้เขา
สามารถทำกำไรได้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงมากเฉลี่ยกว่า 20% ต่อปีทบต้นมาเรื่อย ๆ
เป็นเวลาเกือบ 50 ปี และกลายเป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับสองของโลกด้วยความมั่งคั่ง
หลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ความคิดของการซื้อหุ้น แล้วไม่ขายเลยนั้น
บัฟเฟตต์ได้มาจาก ฟิลิป ฟิชเชอร์ ในหนังสือคลาสสิค
Common Stocks and Uncommon Profit ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958
ต่อไปนี้เป็นคำเรียบเรียงของบางส่วนในหนังสือซึ่งวอเร็น บัฟเฟตต์เคยอ้างถึง
และผมคิดว่า Value Investor ควรได้เรียนรู้เอาไว้ และถ้าเป็นไปได้นำมาประยุกต์
ใช้กับการลงทุนของตนเอง

มีการอ้างเหตุผลอีกข้อหนึ่ง ในการขายหุ้นของนักลงทุน
ซึ่งทำให้เขาพลาดจากกำไร ที่เขาควรจะได้
เหตุผลข้อนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ไร้สาระที่สุด นั่นก็คือหุ้นที่เขาถืออยู่มีราคาวิ่งขึ้น
ไปมากมหาศาล เพราะฉะนั้นมันคงรองรับผลการดำเนินงานในอนาคตไปหมดแล้ว
ดังนั้นเขาควรจะขายมันและซื้อหุ้นตัวอื่นที่ราคายังไม่ได้ขึ้น

บริษัทที่ดีเยี่ยม ซึ่งเป็นหุ้นประเภทเดียว ที่ผมคิดว่านักลงทุนควรซื้อ
ไม่ได้ทำงานแบบนี้ การทำงานของมันอาจจะเข้าใจได้ง่ายที่สุด
โดยการอุปมาอุปไมกับเรื่องดังต่อไปนี้ สมมติว่ามันเป็นวันที่คุณเรียนจบจากมหาวิทยาลัย
หรือเรียนจบมัธยมก็ได้ ทีนี้สมมติต่อว่า ในวันนั้นเพื่อนร่วมชั้นของคุณทุกคน
ต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน แต่ละคนเสนอเงื่อนไขให้คุณ
แบบเดียวกันนั่นคือ ถ้าคุณให้เงินพวกเขาเท่ากับ 10 เท่าของรายได้ทั้งหมดที่เขาจะได้รับ
ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าหลังจากที่เขาเริ่มทำงาน พวกเขาก็จะตอบแทนคุณ
โดยการจ่ายเงินให้คุณ เท่ากับหนึ่งในสี่ของรายได้ของเขาตลอดชีวิต
สุดท้ายสมมติว่า คุณคิดว่านี่เป็นข้อเสนอที่ดี
แต่คุณมีเงินสดในมือเพียงพอเฉพาะ ที่จะทำสัญญากับเพื่อนได้เพียง 3 คน

ถึงจุดนี้วิธีคิดของคุณคงคล้ายกับนักลงทุน
ซึ่งใช้หลักการลงทุนที่มีเหตุผลในการเลือกหุ้น
คุณคงเริ่มวิเคราะห์เพื่อนร่วมชั้นแต่ละคน ไม่ใช่ดูว่าเขามีนิสัยใจคออย่างไร หรือแม้แต่
มีความสามารถพิเศษด้านอื่นอย่างไร แต่คุณคงจะพยายามคาดการณ์ว่าเขาจะทำเงิน
ได้มากน้อยแค่ไหนในอนาคต



ถ้าเพื่อนร่วมรุ่นมีมาก คุณก็คงตัดหลาย ๆ คนออกไปทันที
เพราะคุณไม่รู้จักเขาพอที่จะ พิจารณาว่าเขาจะมีความสามารถหาเงินได้มากน้อยแค่ไหนในอนาคต
นี่ก็เป็นอะไรที่ คล้ายคลึงกับการลงทุน ในหุ้นแบบชาญฉลาดเหมือนกัน

ในที่สุดคุณก็เลือกเพื่อนร่วมชั้น 3 คน
ซึ่งคุณรู้สึกว่าจะมีอนาคตในการหาเงินมากที่สุด
คุณทำสัญญากับเขา สิบปีผ่านไป หนึ่งในสามคนทำได้ประทับใจมาก เขาเข้าทำงาน
ในบริษัทขนาดใหญ่ ได้รับการปรับชั้นปรับตำแหน่ง ครั้งแล้วครั้งเล่า คนในบริษัทต่างก็พูดกัน
ว่าผู้จัดการใหญ่ชื่นชมเขามาก และภายในอีก 10 ปีเขาอาจจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งสูงสุด
ในบริษัทซึ่งเขาจะได้รับผลตอบแทนสูงมากจากทั้งเงินเดือน โบนัส หุ้นและผลตอบแทนอื่น ๆ

ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ แม้แต่นักวิเคราะห์หุ้น
ที่ชอบเชียร์ให้คุณ “Take Profit” ในหุ้นที่ดีเยี่ยมซึ่ง “ราคาวิ่งนำหน้าตลาด”
ก็คงไม่คิดว่าคุณจะขายสัญญานี้ในราคาสูงเป็น 6 เท่า
ของเงินที่คุณจ่ายไปเมื่อสิบปีก่อน

ถ้ามีใครมาแนะนำให้ คุณขายสัญญาทิ้ง
เพื่อเอาเงินไปทำสัญญากับเพื่อนเก่าอีกคนหนึ่ง ซึ่งเงินเดือนไม่ขึ้นเลยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
หลังจากเรียนจบ คุณคงคิดว่าคนแนะนำนั้น
“เพี้ยน” แน่ เหตุผลที่ว่าเพื่อนที่ประสบความสำเร็จก้าวหน้าไปมากมีเงินเดือนสูงแล้ว
และคงสูงขึ้นไปไม่ได้อีกมากในขณะที่เพื่อนที่ไม่ประสบความสำเร็จน่าจะก้าวหน้าได้เร็วขึ้น
นั้นฟังดูน่าขันมาก แต่ถ้าคุณรู้จักหุ้นของคุณดีพอกัน
เหตุผลในการขายหุ้นที่ดีก็น่าขันมากเท่า ๆ กัน

คุณอาจจะคิดว่าทั้งหมดนี้ฟังดูดี
แต่เพื่อนร่วมชั้นไม่ใช่หุ้น แน่นอน มีความแตกต่างที่สำคัญ
แต่ความแตกต่างนั้น ยิ่งช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับ
เหตุผลที่จะไม่ขายหุ้นที่ดีเยี่ยมเพียงเพราะว่า
หุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นไปสูงมากและอาจจะมีราคาสูงเกินไปชั่วคราว
ความแตกต่างนั้นก็คือ

เพื่อนร่วมชั้นนั้นมีข้อจำกัด
เขาอาจจะตายในไม่ช้าและในที่สุดก็ต้องตาย แต่หุ้นนั้นไม่มีอายุขัย
บริษัทอาจจะมีวิธีการคัดเลือกผู้บริหารที่มีความสามารถสูง มีวิธีการฝึกอบรมให้คนเหล่านั้น
รู้ถึงนโยบาย วิธีการ และเทคนิคที่จะช่วยรักษา
และส่งต่อความเข้มแข็งของกิจการ ไปสู่ชนรุ่นหลัง
ดูอย่างดูปอนต์ที่อยู่มากว่าร้อยปี
หรือบริษัทดาวเคมิคอลหลังจากที่ผู้ก่อตั้งที่เก่งกาจเสียชีวิต

ในยุคที่ผู้คนมีความต้องการและตลาดของสินค้าเติบโตมหาศาล
ไม่มีข้อจำกัดว่าบริษัทจะโตไม่ได้ อย่างที่เกิดกับ
ปัจเจกชน(บุคคลที่มีลักษณะเฉพาะตัว ที่ไม่เหมือนใคร)

บางทีความคิดในบทนี้ อาจจะสามารถเขียนขึ้นด้วยคำพูด ประโยคเดียวนั่นคือ
“ถ้าเราวิเคราะห์ดีแล้วเมื่อเราซื้อหุ้น เวลาที่จะขายหุ้นนั้นเกือบจะไม่ต้องเลย”

วอเร็น บัฟเฟตต์นั้นไม่เหมือนนักลงทุนคนอื่น
เขาซื้อโดยมีสมมติฐานว่าจะไม่ขาย หุ้นที่เขาลงทุนส่วนใหญ่
อยู่กับเขามานาน หลาย ๆ บริษัทเขาคือเจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด
เขาไม่ดูราคาหุ้น สิ่งที่เขาดูก็คือ ผลกำไรของบริษัท ดูเงินสดที่บริษัทหามาได้
และบ่อยครั้ง เขาเอาเงินสดนั้นมา ใช้ลงทุนซื้อกิจการ
หรือหุ้นตัวอื่นต่อ ๆ ไป และนี่คือวิธีการทำเงินจากหุ้นโดยไม่ต้องขายหุ้น
แต่ซื้อหุ้นไปเรื่อย ๆ จะเรียกว่าลงทุนแบบ One Way Ticket ก็น่าจะได้

อิสรภาพทางการเงิน โดย money.matethai.com

$$$ ลิ้งที่เกี่ยวข้อง $$$
อิสรภาพทางการเงิน ตอนที่ 0 -12