กำไรพันเท่า



ตอนที่ 1 กำไรพันเท่า
ลงทุนหุ้นเงาพันเท่าแค่เอื้อม

ตลาดหุ้นเป็น “ตลาดเพื่อการลงทุน” มิใช่ “บ่อนการพนัน”
ลงทุนหุ้นเงาพันเท่าแค่เอื้อม แค่ทำได้เกรด C ก็กำไรพันเท่าได้ !!!

*** ชอบแนวคิดของคุณเฟยหง เลยขอตอบเท่าที่พอรู้นะครับ
กำไรพันเท่าไม่ใช่หุ้นเด็ดๆที่คุณเฟยหงแนะนำ
แล้วซื้อตาม ถือในระยะสั้นๆก็กำไรพันเท่าครับ

คุณเฟยหงเคยกล่าวใว้ว่า
ให้เชื่อว่าตลาดหุ้นเป็น “ตลาดเพื่อการลงทุน” มิใช่ “บ่อนการพนัน”
อดทนถือเพื่อทำกำไรจากธุรกิจที่กำลังจะดี
โดยไม่ไปข้องเกี่ยวกับการเก็งกำไรรายวัน

ลงทุนหุ้นเงาพันเท่าแค่เอื้อม!

ลงทุนหุ้นเงาพันเท่าแค่เอื้อม
ลงทุนหุ้นเงาพันเท่าแค่เอื้อม ภาพประกอบจาก welovebook.com

หลักของชาวพุทธ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย
หุ้นก็เหมือนกัน
คือ ควรลงทุนตอนหุ้นกำลังจะเกิดใหม่
และ ขายตอนโตเต็มที่ใกล้จะเจ็บ



ระยะเวลาการลงทุนก็ถือทางสายกลาง คือ
ไม่สั้นเกินไป ไม่ยาวเกินไป ประมาณครึ่งปี(6เดือน)

และทำถูกเพียง ครึ่งเดียว (ได้เกรดC)ก็พอ
คือ ลงทุนในหุ้น 4 ตัว
2 ตัวแรกคิดถูกสร้างผลตอบแทน 100% ใน 6เดือน
2 ตัวหลังคิดผิด(เช่น ตัวหนึ่งขึ้น15% ตัวหนึ่งขาดทุน15%)ผลตอบแทนส่วนนี้เป็น0%
เมื่อรวมทั้งหมดก็จะได้ผลตอบแทน 50% ในระยะเวลา 6 เดือน

เงินเริ่มต้น 100,000 บาท ถ้าลงทุนตามแผน
1. 6เดือน = 150,000
2. 1ปี = 225,000
3. 1ปี6เดือน = 337,500
4. 2ปี = 506,250
5. 2ปี6เดือน = 759,375
6. 3ปี = 1,139,062 –>[กำไร 10 เท่า]
12. 6ปี = 12,000,000 –>[กำไร 100 เท่า]
18. 9ปี = 100,000,000 –>[กำไร 1,000 เท่า]

หลักการคัดเลือกหุ้น
1.วัฏจักรของธุรกิจ
2.ค่า EV/ebitda
3. เฟยหง ratio
4.สัญญาณทางเทคนิค
5.ผลกระทบจากการประกาศผลกำไร
6.สถาพคล่อง
7.อย่าเลือกลงทุนหุ้นที่ตกนรก
จากคุณ : พเนจรศึกษาวิชา

แผนการลงทุน คือ
การนำเงินเย็นมา 100,000 บาท
พอได้กำไรก็นำมา ทบต้น ลงทุนต่อ
จากคุณ : พเนจรศึกษาวิชา

9 thoughts on “กำไรพันเท่า”

  1. *** หนังสือแนะนำ ลงทุนหุ้นเงาพันเท่าแค่เอื้อม ***
    $$$ เกี่ยวกับเฟยหง $$$
    +++ เป็นผู้ที่สามารถทำกำไรถึงตลาดหุ้นไทยถึงสิบเท่าในสามปี
    แม้ในยามตลาดเป็นขาลงหลังวิกฤตค่าเงินบาท

    +++ เป็นผู้แนะนำหุ้นดี ๆ ให้เพื่อน ๆ ในโต๊ะสินธร
    หุ้นเหล่านั้นสามารถวิ่งขึ้นทำกำไรกว่าร้อยเปอร์เซนต์อยู่หลายตัว

    เป็นผู้เขียนหนังสือ ลงทุนหุ้นเงาพันเท่าแค่เอื้อม
    พิมโดยสำนักพิมพ์ซีเอ็ด

    เป็นหนังสืออ่านง่าย ใช้ได้จริง ราคาเพียง 90 บาท
    ถูกมากหากเทียบกับผลตอบแทนที่ได้
    หากได้ปฏิบัติตามหนังสือ

    **** เมื่อผมเริ่มลงทุนครั้งแรก
    ผมแบ่งการลงทุนส่วนหนึ่ง
    และได้ปฏิบัติตามหนังสือเล่มนี้

    ผมได้รับกำไรมากที่สุดในการลงทุนเริ่มต้นของผม
    แต่เมื่อกำไรมากขึ้น ผมก็คิดว่าตัวเองฉลาดพอสำหรับการลงทุน
    ด้วยความประมาท และหลงตัวเองที่คิดว่าเก่งแล้ว
    จึงละเลยหลักเกณฑ์ไป และทำให้ผมขาดทุนมากในเวลาต่อมา

    ผมจึงเข้าใจว่าการปฏิบัติตามกฏอย่างเคร่งครัด
    บางทีก็มาจากการที่เราได้ละเลยกฏไป
    จาก เว็บมาสเตอร์ Money.Matethai.Com

    $$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$
    $$$ การลงทุน เศรษฐกิจ หุ้น และอิสรภาพทางการเงิน | Money $$$
    $$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$

  2. *** มุมของของคุณเฟยหง …. ***
    การถือหุ้น คือ เป็นการเจ้าของธุรกิจครับ….
    โดยปกติแล้วจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า 10% ต่อปี
    ขึ้นไปโดยเฉลี่ย ตามการเติบโตของผลกำไรบริษัท
    ซึ่งมากกว่าดบ.หุ้นกู้ พันธบัตร เงินฝาก…
    ดังนั้น การลงทุนในหุ้น… เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีใช้ได้เลยละครับ
    จากคุณ : เฟยหง

    ++ ช่วยกันเสนอหุ้นเงาหน่อยครับ ++
    หลังจากที่ผมนำเสนอ ILINK ที่คาดหวังผลตอบแทนได้ถึง 200%
    ราคาหุ้นก็ตอบสนองขึ้นมาได้ดี (ขอโม้หน่อย)
    หุ้นใน MAI หลายตัวน่าสนใจครับ
    สำหรับ PICO, UEC น่าจะหวังผลได้ที่ 100% ตามเป้าหมายของหุ้นเงา
    โดย PICO คาดหวัง EPS .5 บาท และ p/e ปรับขึ้นมาเป็น 10 เท่า ….
    UEC คาดหวัง EPS 1.5 บาท และ p/e ปรับขึ้นเป็น 10 เท่าเช่นกัน
    ด้วยเหตุผลแบบนี้ ทั้ง 2 ตัวจึงหวังผลที่ 100% ได้

    เพื่อนๆ ช่วยกันแนะนำ “หุ้นเงา” ให้หน่อย
    ด้วยหลักการ “เล็ก” “ถูก” “โต”
    และช่วยบอกเหตุผลหน่อยว่า ทำไมเราจึงหวังผลกำไร 100% ในหุ้นนั้นๆ ได้ครับ
    จากคุณ : เฟยหง

  3. *** อย่าเล่นหุ้นครับ ให้ลงทุนในหุ้น….
    ไม่ใช่กำไรหลายสิบ หลายร้อยเปอร์เซนต์แต่
    เป็นกำไรหลายสิบ หลายร้อยเท่า… เป็นเรื่องธรรมดาๆ
    จากผลของการทบต้นของกำไรครับ

    แล้วที่บอกว่าเป็นการพนันชนิดหนึ่งนั้น ขอเถียงหัวชนฝาครับ
    การลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ตราสารหนี้ ซึ่งจากอดีตอยู่ราว 12% ต่อปี
    เรียกว่า ถือหุ้นเฉลี่ยๆ แบบปาเป้า หรือซื้อกองที่อิงดัชนี ก็ได้กำไรอยู่แล้วเห็นๆ
    เพราะตลาดหุ้นและ ราคาหุ้น วิ่งขึ้นตามกำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้น
    แต่การหมุนหุ้นมากไป จะทำให้เสียค่าคอมฯ ได้มากกว่า 12% ของเงินลงทุน
    นั่นเข้าข่ายว่า…. คุณกำลังเล่นพนันอยู่หรือเปล่า

    ถ้าไม่หมุนหุ้นมากเกินไป ไม่เล่นหุ้นปั่นมากเกินไป ไม่ถือหุ้นเน่ามากไป
    เชื่อว่าระยะยาวแล้วได้กำไรแน่นอนครับ
    จากคุณ : เฟยหง

  4. *** ลงทุนแบบ leverage แบบไร้ความเสี่ยง : SMK
    ถ้าคิดว่า mkt.cap ของหุ้นตัวนี้ที่ 800 ล้านบาท เราสามารถซื้อทั้งหมด
    จะสามารถนำเงินลงทุน + เงินสดฝากธนาคารที่สูงถึง 3.6 พันล้าน
    หรือ ประมาณ 4.5 เท่าตัว ไปสร้างผลตอบแทนในรูป ดอกเบี้ย และ เงินปันผล
    ขณะที่หนี้สิน คือ พวกเงินสำรองประกันภัยนั้นไม่มีต้นทุนที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแต่อย่างใด
    นี่คือ ข้อดีของบริษัทประกันภัย ซึ่งแตกต่างจากธนาคาร
    คือ สินทรัพย์สร้างผลตอบแทนได้ คล้ายๆ กัน
    แต่หนี้สิน บริษัทประกันภัยไม่ต้องจ่าย ดบ. ขณะที่ธนาคารต้องเสีย ดบ.เงินฝาก

    การลงทุนในหุ้น SMK ก็เหมือนการลงทุนผ่านกองทุนแบบ
    balanced fund ทั้งในรูปหุ้น และ พันธบัตร หุ้นกู้ต่างๆ
    โดยเพิ่มประสิทธิผลเงินลงทุน 4.5 เท่าตัว
    นอกจากนี้เมื่อมองด้านความเสี่ยงแล้ว P/BV ของ SMK
    อยู่เพียง 0.71 เท่า ยังต่ำอยู่พอสมควร
    และยังมีกำไรในพอร์ตการลงทุน 60 ล้าน…
    เพื่อรองรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้

    ปัญหาของ SMK คือ การมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงมาก
    ด้วยเบี้ยประกันภัยขนาดนี้ (พอๆ กับ SAFE)
    กลับมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงถึง
    เกือบ 600 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ SAFE นั้นต่ำกว่า 300 ล้านบาท
    ทำให้บริษัทไม่มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจประกันภัย
    แม้จะเป็นข้อเสีย แต่ก็อาจเป็นข้อดี
    ถ้าหากอนาคตสามารถจะประหยัดต้นทุนตรงนี้ลงไปได้

    ก็เขียนเป็นข้อมูลไว้ครับ สำหรับเพื่อนๆ บางคนที่อาจสนใจ ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อครับ
    จากคุณ : เฟยหง

  5. *** มุมมองศก.โลก ศก.ไทย ตามข้อเรียกร้อง
    ผมคิดว่าอเมริกาได้ขึ้น ดบ. มามากเกินไปแล้ว…
    อาจเป็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด
    (หากมองไปข้างหน้าอีก 1-2 ปี)
    การขึ้นดบ. เฟดเกินกว่า 4.5%
    เป็นการเดินไปสู่จุดตาย….

    ตอนนี้ตลาดอสังหาฯ ในอเมริกา
    เริ่มส่อแววทรุดตัว จากตัวเลขล่าสุดหลายๆ
    ตัวได้บอกแบบนั้น
    เพราะผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีสูงมากถึง 4.85%
    และมีผลต่อ อดบ.เงินกู้บ้านโดยตรง
    ตลาดอสังหาฯ ดูไม่สดใสเลย
    หลังจากรุ่งเรืองมาหลายปีติดต่อกัน
    อาจทำให้กำลังซื้อของคนอเมริกา แย่ลงไปด้วย
    เพราะอาศัยบ้านเป็นเครือง ATM มานาน
    โดยการใช้ home equity
    เมื่อราคาบ้านสูงขึ้น ก็กู้ได้เงินสดมาใช้จ่ายได้มากขึ้น….
    ฟองสบู่กำลังจะแตก

    ยิ่งมีสัญญาณจาก inverted yield curve
    คือ ดบ.ระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว
    ด้วยแล้วยิ่งน่ากังวล เพราะนั่นหมายถึง
    สัญญาณของ recession ได้ส่อแววขึ้นมาแล้ว

    ที่จริงผมคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้น่าจะเกิดมาก่อนแล้วสัก 1-1.5 ปี
    แต่อเมริกาก็ยื้อมาได้ ด้วยแรงเงินสนับสนุนจาก จีน และ ญี่ปุ่น
    จึงไม่มี outflow อย่างรุนแรงให้เห็น เงินตรายังคงไหลเข้า
    เพราะส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
    เพื่อมาอุดรูรั่วจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
    จำนวนมหาศาลถึง 7% GDP เอาไว้ได้

    ดบ.คงใกล้ peak เต็มที ที่จริงควรจะหยุดตรงนี้แล้วด้วยซ้ำ
    การขึ้น ดบ.ไปอีก 0.25% ถึงระดับ 5% อาจเกิดขึ้นได้
    แต่ไม่ควรให้เกิดขึ้น เพราะจะทำให้ตลาดหุ้น
    ตลาดอสังหาฯ ของอเมริกา อาจถึงขั้นพังพินาศ…..

    ส่วนเงินเฟ้อ คงไม่มีอะไรต้องกังวลนักแล้ว กลัวแต่ recession มากกว่า…
    หากภาพของ recession ชัดขึ้นเรื่อยๆ ราคาน้ำมันก็น่าจะเริ่มอ่อนตัวลงเอง
    ปัญหาก็คือ จะแก้ไขปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างไร….
    โดยไม่ให้ ศก.อเมริกาต้องเข้าสู่ recession…

    คงต้องลุ้นให้ จีน เข้ามาแบกรับภาระตรงนี้ไว้…
    ค่าเงินหยวนควรจะต้องแข็งขึ้นอีกมาก
    เพื่อทดแทนกำลังซื้อตรงนี้ของโลกที่อาจขาดหายไป

  6. สำหรับ ศก.ไทยก็คงพอเดินไปได้ แม้จะไม่สวยหรูนัก
    เพราะงบด้านการลงทุนต่างชะลอออกไป
    รอรัฐบาลใหม่
    การท่องเที่ยวก็ชะลอไปมากเพราะกลัวม็อบ
    การส่งออกซึ่งเป็นตัวช่วย
    มาตั้งแต่ปีก่อนจนถึงไตรมาส 1 ของปีนี้ก็อย่าได้หวังมาก….
    ศก.โลกกำลังจะมีปัญหา

    ตลาดหุ้นถือว่าไม่แพง…เมื่อดูจาก p/e ที่อยู่ในระดับต่ำ
    แต่การเติบโตของกำไรก็น้อยด้วย…
    การลงทุนคงต้องเลือกเป็นตัวๆ
    ไม่ใช่ขึ้นทั้งกระดาน ตลาด MAI
    อาจดูน่าสนใจกว่า SET

    สังเกตดูจะเห็นว่า เงินบางส่วนจากการขาย
    หุ้น SHIN ที่ไม่ใช่ตระกูล “ชินวัตร”
    ส่วนใหญ่ถือโดยกองทุนต่างๆ

    ได้หันไปซื้อหุ้นในกลุ่มที่ไม่ใช่แบงก์ , สื่อสาร
    จึงทำให้หุ้นในกลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม,
    กลุ่มพาณิชย์ และ กลุ่มประกัน วิ่งขึ้นได้มาก
    HMPRO, BIGC วิ่งจน p/e เกือบ 20 เท่า
    BKI p/e 20 เท่า ขณะที่ THRE, SMG p/e ราว 15 เท่า
    MINT p/e 22 เท่า TF ก็ขึ้นมาไม่น้อย…..
    แม้ในสภาพตลาดไม่ดีนัก… แต่หุ้นพวกนี้แข็งแกร่งมาก

    ยังมีหุ้นอีกหลายตัวที่น่าสนใจ “เล็ก” “ถูก” “โต”
    คือประเด็นสำหรับ “หุ้นเงา” ครับ
    จากคุณ : เฟยหง

  7. *** Feihong Gap โดย เฟยหง
    ทำกำไรในช่วงตลาดขาลง.. ช่างยากนัก
    อย่างที่เคยเขียนไว้แล้วบ้าง ว่าการเลือกหุ้นที่มี gap
    จากเส้นค่าเฉลี่ย 40 วัน มากๆ ราว 50% ขึ้นไป
    ถือว่าเป็นหุ้นที่น่าลุ้นกับการเด้งเพื่อทำผลตอบแทนได้สูง 20-30%
    ขึ้นไปภายในเวลา 2 สัปดาห์

    การมี gap ของเส้นต้นทุนเฉลี่ย 2 เดือน 50% นั้น
    ถือว่าเกิด Feihong Gap (ตั้งชื่อซะเลย)
    ที่เลือก 40 วัน เพราะสามารถดูใน settrade ได้
    ที่เลือก 50% เพราะจัดว่าตกหนักมากแล้ว

    ความเสี่ยงขาลงมีจำกัด และ โอกาสเด้งขึ้นมีสูงกว่า
    ซึ่งปรากฏการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดกับ
    KMC, NOBLE, RS, SYNTEC และตัวอื่นๆ มาแล้ว
    แนวคิดคือ ราคาหุ้นเกิด discount มากๆ
    เมื่อเทียบกับต้นทุนเฉลี่ย 2 เดือนที่ผ่านมา
    ++กรณีของวอแรนท์ที่จะหมดอายุห้ามใช้เด็ดขาด ++
    เพราะจะเหมือนโยนลูกบอลลงบ่อโคลน ไม่มีเด้ง

    กวาดตาไปทั่วๆ ตลาดก็พบอยู่ตัวหนึ่ง…
    ขึ้นต้นด้วยตัว M
    เพื่อนๆ ใครเจอหุ้นที่เปิด feihong gap ก็แนะนำด้วยครับ

    == นี่เป็นแนวคิดเชิงเทคนิคล้วนๆ โปรดใช้วิจารณญาณก่อนตัดสินใจลงทุนครับ ==
    จากคุณ : เฟยหง

  8. *** ฟองสบู่ใหญ่ที่สุดในโลกกำลังจะแตก
    นั่นก็คือ ฟองสบู่อสังหาฯ ของอเมริกา
    ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ใหญ่ยิ่งกว่าตลาดหุ้น
    เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากกว่า….
    และเป็นแหล่งเงินให้คนอเมริกากู้เพิ่มมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นนานนับ 10 ปี
    บัดนี้ใกล้ถึงเวลาของเขาแล้ว

    นี่คือ ข่าวที่เพิ่งออกมาเมื่อวานนี้
    ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้สร้างบ้าน ต่ำสุดในรอบ 10 ปี
    คนอเมริกาที่ใช้ ARM (Adjusted Rate Mortages)
    ซึ่งตกราว 25% ของผู้กู้บ้านทั้งหมด กำลังตกเป็นเหยื่อ
    ค่าผ่อนชำระต่อเดือนสูงขึ้นถึง 30-40%
    เมื่อเทียบกับแต่ก่อนตามอดบ.ที่เพิ่มขึ้น
    (คล้ายเมืองไทยเพราะช่วงแรกๆ จะมีอดบ.ต่ำๆ เพื่อจูงใจให้กู้)

    ในปีหน้าจะมียอดหนี้ถึง 1 ล้านล้านเหรียญ สรอ. หรือเกือบ 10%
    GDP ที่ต้องการปรับ ดบ. และ การผ่อนชำระต่อเดือนเพิ่มขึ้น….
    ในสภาพที่ ศก.เป็นขาลง
    การยึดเพื่อขายทอดตลาดของบ้านในอเมริกาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก……
    และจะกดดันราคาบ้านให้ตกต่ำต่อเนื่องยาวนาน
    สัญญาณอันตรายจริงๆ เริ่มชัดขึ้นแล้ว

    ผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็คือ นายกรีนสแปน ในฐานะผู้สร้างฟองสบู่อสังหาฯ
    กดดบ.ต่ำ 1% นานเกินไป และ นายเบอร์นันเก้ ผู้ทำให้ฟองสบู่แตก
    ด้วยการขึ้น ดบ. อ้างแต่เงินเฟ้อเป็นหลัก (ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก)

    -ผมคิดว่า การขึ้น ดบ.ของ FED เกินกว่า 4.5% เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
    และ จะนำพาหายนะใหญ่หลวงมาสู่ ศก.อเมริกา และ ศก.โลกครับ
    ขอให้พวกเรา ยึดแนวคิด “ศก.พอเพียง” เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติช่วงนี้ไปให้ได้ครับ
    เฟยหง Feihong_stock

  9. การลงทุน เศรษฐกิจ หุ้น และอิสรภาพทางการเงิน
    การลงทุน ทันต่อเศรษฐกิจ พูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุน เศรษฐกิจและตลาดหุ้น เพื่ออิสรภาพทางการเงินของคุณ
    $$$ ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง การลงทุน เศรษฐกิจ หุ้น และอิสรภาพทางการเงิน $$$
    http://www.money.matethai.com/investment/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99

Leave a Reply